“บุญธรรม”แชมป์เชฟกระทะเหล็ก ตัดสินใจลงการเมือง หวังสานฝันช่วยชาวบ้านผุดโครงการ ‘ผักขะแยงผง’ หวังดันผักพื้นบ้านอีสานสู่ตลาดโลก สร้างรายได้ให้เกษตรกร - ไทยเสรีนิวส์
“บุญธรรม”แชมป์เชฟกระทะเหล็ก ตัดสินใจลงการเมือง หวังสานฝันช่วยชาวบ้านผุดโครงการ ‘ผักขะแยงผง’ หวังดันผักพื้นบ้านอีสานสู่ตลาดโลก สร้างรายได้ให้เกษตรกร

แชมป์เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย ปี 59 โดดลงเล่นการเมือง หวังสานฝันช่วยชาวบ้านได้มากขึ้น ล่าสุดผุดโครงการ ‘ผักขะแยงผง’ หวังดันผักพื้นบ้านอีสาน ขึ้นสู่ตลาดโลก สร้างรายได้ให้เกษตรกรเป็นล่ำเป็นสัน

นายบุญธรรม ภาคโพธิ์ หรือ เชฟบุญธรรม ผู้เคยครองตำแหน่งแชมป์เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย หลายสมัย ทางทีวีช่อง 7 สี จนมีชื่อเสียงโด่งดัง และปัจจุบันอยู่ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สังกัดพรรคไทยสร้างไทย เขต 6 อุบลราชธานี โดยเจ้าตัวเปิดเผยว่า การที่ตนได้ตัดสินใจก้าวเข้ามาอยู่ในบทบาทการทำงานด้านการเมืองในขณะนี้ เป็นเพราะว่าในอดีตตนก็เคยเป็นลูกชาวบ้านตัวเล็กๆ และเคยขาดโอกาสมาก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งชีวิตได้มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้เกี่ยวกับอาหาร จึงใช้ความมุ่งมั่นพัฒนาฝีมือจนสามารถสร้างตัวและครอบครัวให้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้ในปัจจุบัน  วันนี้ตนจึงอยากสร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตให้กับคนชาวบ้านที่หลายคนยังประสบปัญหายากลำบาก ดังนั้นจึงมองว่า ‘การเมือง’ น่าจะเป็นเวทีที่จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากกว่าบทบาทอื่น  อีกทั้งเมื่อตนได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ในพื้นที่อย่าง นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานกลุ่มสร้างอุบล ที่ต้องการสร้างการพัฒนาพื้นที่ จ.อุบลฯ ให้ต่อเนื่อง โดยสนับสนุนให้ตนได้เข้ามาดูแลประชาชนในพื้นที่เขต 6 อุบลราชธานี ในการลงสมัครผู้แทน ที่สำคัญที่ตนเลือกสังกัด พรรคไทยสร้างไทย ซึ่งมีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ เป็นหัวหน้าพรรคนั้น เนื่องจากเป็นพรรคการเมืองที่มองเห็นความสำคัญของชาวบ้านตัวเล็กๆ และมุ่งที่จะให้โอกาส รวมทั้งเป็นพรรคที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย  มุ่งสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ เพื่อไม่ให้กลับมาอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้งเหมือนในอดีต ตนจึงได้เลือกอาสาเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนในนามของพรรคนี้

นายบุญธรรม กล่าวว่า ส่วนสิ่งที่ตนตั้งใจจะทำให้กับประชาชน หากชาวบ้านในพื้นที่ให้ความไว้วางใจนั้น นอกจากนโยบายพรรคไทยสร้างไทยที่ตนเชื่อว่าจะสามารถนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้อย่าง ‘บำนาญประชาชน เดือนละ 3,000 บาท’ โดยทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้ด้วยวิธีการพลิกแพลงการบริหารจัดการด้านงบประมาณแผ่นดินแบบใหม่เท่านั้น เพราะที่ผ่านมาคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์  เคยทำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่คิดขึ้นให้เป็นผลสำเร็จมาแล้ว ซึ่งหากนโยบายนี้นำไปสู่การปฏิบัติ โอกาสโดยเฉพาะผู้สูงอายุก็จะมีความมั่นคงมากขึ้น ขณะที่ลูกหลานก็จะมั่นคงทางรายได้ เพราะไม่ต้องส่งเงินให้พ่อแม่บุพการีเพราะมีรัฐช่วยดูแลแล้ว ก็จะทำให้ลูกหลานมีเงินเลี้ยงดูครอบครัวตัวเองได้ดีขึ้น  ซึ่งถ้าคนกลุ่มนี้ได้รับการดูแลการพัฒนารายได้อื่นๆ ก็จะตามมา สังคมไทยก็จะมั่นคงแข็งแรงด้านความเป็นอยู่  เศรษฐกิจไทยก็จะเดินหน้าได้เนื่องจากคนกลุ่มเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ  หากพวกเขาลืมตาอ้าปากได้ประเทศก็จะเดินหน้าได้ และยังไม่รวมถึงนโยบายเรียนฟรี ลดเวลาการเรียนลงอีก 3 ปี เพื่อให้ประชากรได้มีโอกาสเข้าสู่ตลาดแรงงานและสร้างอาชีพได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไปในตัว

           

นายบุญธรรม กล่าวว่า นอกจากนี้ตนยังมีนโยบายส่วนตัวที่จะทำให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะพัฒนาอาชีพและรายได้ของชาวบ้านซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรให้มั่นคงขึ้น  กล่าวคือ ตนมีโครงการที่จะพัฒนาผลักดันให้ ‘ผักขะแยง’ หรือ ‘ผักกะแยง’ ซึ่งเป็นผักพื้นบ้านที่ชาวอีสานรู้จักกันเป็นอย่างดี ให้เป็น ‘ผักขะแยงผง’ ซึ่งผักขะแยงเป็นผักที่ปลูกง่าย มีกลิ่นหอมฉุน ชาวบ้านมักนำมาใส่ในอาหารคาวประเภท ต้ม-แกง และอื่นๆ รวมทั้งการกินเป็นผักเครื่องเคียง ซึ่งตนได้คิดและเล็งเห็นว่าหากสามารถพัฒนาผลักดันให้ผักชนิดนี้เป็น ‘ผักขะแยงผง’ ได้ โอกาสที่จะดันผักนี้เดินทางไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ก็จะทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ที่ดีให้กับเกษตรกรตามไปด้วย ดังนั้นขณะนี้ตนจึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในการพัฒนาและทำการศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาและแปรรูปผักขะแยง จากผักธรรมดาให้เป็น ‘ผักขะแยงผง’ เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการนำไปใช้ปรุงอาหาร และง่ายต่อการทำตลาดทั้งทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งนอกจากจะสามารถนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารคาวเพื่อสร้างกลิ่นที่ชวนรับประทานแล้ว ยังเพื่อให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม เช่น ชา และเครื่องดื่มอื่นๆ ได้อีกด้วย ซึ่งหากพัฒนาได้สำเร็จโอกาสที่จะผลักดันผักขะแยงเข้าสู่ตลาดสากลก็จะง่ายขึ้น  เพราะที่ผ่านมาตนในฐานะเชฟอาหารญี่ปุ่นได้เดินทางไปหลายประเทศ  เบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 6 ประเทศ ที่หากโครงการนี้สำเร็จสามารถนำไปเข้าสู่ตลาดได้เลย อย่างไรก็ตามปัจจุบันตนได้ให้  ม.อุบลฯ เป็นผู้ดำเนินการไปหลายเดือนแล้ว โดยเฉพาะในแง่ของการศึกษาวิจัยเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการรับประทาน สะดวกต่อการใช้ โดยเฉพาะการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มจำเป็นต้องรู้ว่าจะมีผลต่อผู้บริโภคหรือไม่อย่างไรหากมีการดื่มในปริมาณมาก ซึ่งหากสำเร็จในอนาคตจะนำไปสู่การส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ปลูกผักขะแยงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันต่อไป

        

สำหรับ ‘เชฟบุญธรรม’ หรือ นายบุญธรรม ภาคโพธิ์ ปัจจุบันอายุ 49 ปี เกิดที่  อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี  สมัยเด็กอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจน หลังเรียนจบประถมศึกษาอาศัยบวชเรียน หลังจากนั้นได้สึกมาเป็นฆราวาส และหวังเอาดีด้านการต่อยมวยไทยอาชีพ แต่ไปไม่ถึงฝันเพราะขาดผู้สนับสนุน จากนั้นจึงได้ออกรับจ้างทั่วไป จนกระทั่งอายุประมาณ 15 ปี ได้เริ่มก้าวเข้าสู่วงการอาหารญี่ปุ่น โดยเริ่มจากการเป็นเด็กผู้ช่วยภายในร้าน ก่อนจะมุมานะฝึกฝนเรียนรู้จนกระทั่งได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเชฟอาหารญี่ปุ่นฝีมือดี ต่อมาได้กลายเป็นเจ้าของภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นชื่อดังในกรุงเทพฯ หลายสาขา คือ ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น ฮอนโมโน ซูชิ ย่านทองหล่อ และอีกหลายแห่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะกลายเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วประเทศ จากการครองตำแหน่ง แชมป์เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย หลายสมัย ในรายการเชฟกระทะเหล็กประเทศไทย ซึ่งออกอากาศ ทางทีวีช่อง 7 ปัจจุบันเชฟบุญธรรม ภาคโพธิ์ ยังเป็นเจ้าของค่ายมวยไทย ‘ศิษย์เชฟบุญธรรม’ โดยสร้างนักชกภูธร เพื่อให้ไต่เต้าขึ้นเป็นนักมวยไทยมืออาชีพ สานฝันให้เด็กชนบทที่รักในแม่ไม้มวยไทยได้ไปถึงฝัน และเมื่อปี 2562-2563 ได้เป็นโปรโมเตอร์จัดมวยไทย ที่เวทีมวยราชดำเนิน กระทั่งเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้ลาจากการเป็นโปรโมเตอร์มวยไทย และหันมาจัดเวทีมวยไทย ‘ศึกเชฟบุญธรรมมวยไทยออนไลน์’ เพื่อให้นักมวยภูธรไม่ต้องเดินทางเข้ามาประชันฝีมือในกรุงเทพฯ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ปัจจุบัน นายบุญธรรม ภาคโพธิ์ ยังเป็นเจ้าของ ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น โอชิเน ที่มีกระจายอยู่หลายสาขาทั่วประเทศในขณะนี้

ข่าวโดย กฤษณะ วิลามาศ




ป้ายกำกับ:, , , , , , ,

สำนักงานใหญ่ เลขที่ 76 หมู่ 20 ถนนกสิกรทุ่งสร้าง ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000