ไปกราบขอพรพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ "สมเด็จพระพิชิตมารมัธยมพุทธกาล " ที่วัดป่าภูปัง จ.อุบลฯ - ไทยเสรีนิวส์
ไปกราบขอพรพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ “สมเด็จพระพิชิตมารมัธยมพุทธกาล ” ที่วัดป่าภูปัง จ.อุบลฯ

ไปกราบขอพรพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ “สมเด็จพระพิชิตมารมัธยมพุทธกาล ” ที่วัดป่าภูปัง จ.อุบลฯ

“วัดป่าภูปัง” ตั้งอยู่ที่บ้านพะเนียด หมู่ที่ 10 ต.หนามแท่ง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี  โดยมี พระครูวิมลปัทมนันท์ (พระครูเบส) เป็นเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ซึ่งวัดป่าภูปังแห่งนี้โด่งดังในเรื่องของ องค์พญานาคเรืองแสง หนึ่งเดียวในประเทศไทย มีพระพุทธมหาจักรพรรดิ เป็นพระประธานปางมหาจักรพรรดิทรงเครื่อง ที่สวยที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานี และยังมีสิ่งก่อสร้างและพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ สวยงาม ควรค่าแก่การเที่ยวชมและกราบไหว้อีกมากมายอยู่ภายในวัด อาทิเช่น หลวงพ่อองค์ดำ ,เจดีย์พุทธคยาจำลอง ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ด้านใน ,โบสถ์ที่สวยงาม , วิหารสมเด็จองค์ปฐม ,พระอังคีรสอุดมมงคล ซึ่งเป็นพระใหญ่สูงตระหง่าน งดงามยิ่งนัก นอกจากนี้ วัดป่าภูปังยังเป็นแหล่งธุดงค์สถานของ องค์หลวงปู่มั่นภูริทัตโต อีกด้วย

ณ โอกาสนี้ ผู้สื่อข่าวของเรา ขอนำเสนอ เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ “สมเด็จพระพิชิตมารมัธยมพุทธกาล” หรือที่เรียกกันว่า “หลวงพ่อพิชิตมารมัธยมพุทธกาล” ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ศาลาอเนกประสงค์ชั้นที่สาม ภายในวัดป่าภูปัง ควรค่าแก่การกราบไหว้ยิ่งนัก และการนำเสนอในครั้งนี้ ได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจากพระครูวิมลปัทมนันท์ (พระครูเบส) เจ้าอาวาสวัดป่าภูปัง กราบขอบพระคุณพระคุณเจ้าพระครูวิมลปัทมนันท์ (พระครูเบส) มา ณ โอกาสนี้

พระครูวิมลปัทมนันท์ เจ้าอาวาสวัดป่าภูปัง ได้เล่าประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่ทรงมีพระนามว่า “สมเด็จพระพิชิตมารมัธยมพุทธกาล” หรือ  “หลวงพ่อพิชิตมารมัธยมพุทธกาล” ว่า โดยการนำของพระเทพมงคลญาณ วิ (สนธิ์ อนาลโย) เจ้าอาวาสวัดพุทธบูชา กรุงเทพฯ อันมีเรื่องราวลี้ลับแปลกมหัศจรรย์สืบเนื่องมาจากวัดบรมนิวาสฯ กรุงเทพฯ วัดบรมนิวาส ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวง ชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร นิกายธรรมยุต เดิมชื่อว่า “วัดบรมสุข” ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดนอก” เนื่องจากตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง มีผู้สร้างถวายพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังทรงผนวช ต่อมาเมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติได้บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอาราม โดยมีพระราชประสงค์เพื่อให้เป็นวัดธรรมยุต ฝ่ายอรัญวาสี คู่กับวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นวัดธรรมยุต ฝ่ายคามวาสี และพระราชทานนามว่า “วัดบรมนิวาส” ในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ได้บูรณปฏิสังขรณ์อีกครั้งหนึ่ง โดยทุนทรัพย์ของเจ้าจอมมารดาทับทิม พร้อมทั้งพระประยูรญาติของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ต่อมา พ.ศ. 2454 เจ้าจอมมารดาเลื่อน ในรัชกาลที่ 5 สร้างศาลาธรรมสวนะ ชื่อศาลาอุรุพงษ์ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ฯ ได้ชลอพระเก่าจากโบสถ์วัดหลุมดิน เมืองราชบุรีมาทำเป็นพระประธาน อันโบสถ์วัดหลุมดินนั้นชำรุดหมดแล้ว ตัวพระประธานเองซึ่งเป็นพระพุทธรูปศิลาแลง ก็หักพังตกลงมาข้างล่าง ชำรุดหมดทั้งองค์ คงได้ก็แต่พระเศียรเท่านั้น วิธีการอัญเชิญมากรุงเทพฯ คือจ้างเจ๊กล่องถ่าน บรรทุกเข้ามาให้ พอถึงวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2455 ปีชวด ก็ยกพระขึ้นแท่น ลำดับให้เป็นองค์โดยใช้ปูนซีเมนต์เป็นตัวประสาน ฉาบแล้วลงรักปิดทอง เร่งรีบจะให้เสร็จทันสมโภชฉลองในวันวิสาขบูชา เผอิญวันวิสาขบูชาตกในเดือน 7 จึงแล้วเสร็จทันตามประสงค์ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ถวายพระนามว่า “พระพิชิตมารมัธยมพุทธกาล”  ในระหว่างสมโภช เกิดปาฏิหาริย์ปรากฏแก่ประชาชนเป็นอันมาก คือขณะพระกำลังยืนสวดปฏิจจสมุปบาท เวลาสรงน้ำอบน้ำหอม มีแสงพระรัศมีช่วงโชติขึ้นในศาลาเป็นสายคล้ายสายฟ้าแลบ ทำให้เกิดความปีติแก่ประชาชน ถือเป็นการอัศจรรย์ และนับตั้งแต่นั้น ก็น่าแปลกที่กิจการของวัดมีแต่เจริญยิ่งขึ้นทุกด้าน ทำอะไรก็สำเร็จสมประสงค์เรื่อยมา

ต่อมาในปี พ.ศ.2530 หลวงพ่อสนธิ์ อนาลโย สมัยที่ยังจำพรรษาอยู่ที่วัดบรมนิวาสฯ ได้เกิดนิมิตว่าได้เดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ จนไปเห็นภูเขาลูกหนึ่งซึ่งมีธรรมชาติที่งดงามมาก จึงได้ยืนพิจารณาภูเขาลูกนั้นแล้วคิดว่า ภูเขาลูกนี้น่าจะเป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนาได้ดีอีกแห่งหนึ่ง ขณะที่พิจารณาอยู่นั้น ได้มีราชรถลอยมา รับหลวงพ่อขึ้นไปบนยอดเขา ปรากฏว่าบนยอดเขาเกิดแสงสว่างไปทั่วบริเวณ มีผู้คนมากมายแต่งกายด้วยชุดสีขาว มาคอยต้อนรับหลวงพ่อ ด้วยความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อหลวงพ่อรู้สึกตัวขึ้น จึงได้ทบทวนถึงนิมิตนั้นอยู่นานจนมั่นใจว่า ภูเขาลักษณะนี้น่าจะมีอยู่จริง

จนกระทั่งวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535 หลวงพ่อได้นำคณะญาติโยมจากกรุงเทพฯ เดินทางไปกราบครูบาอาจารย์ทางภาคอีสาน และได้พบกับพระอาจารย์บุญชวน เจ้าอาวาสวัดป่าวังน้ำทิพย์ จ.ยโสธร อาจารย์ชวนกราบเรียนหลวงพ่อว่า “ภูเขาที่หลวงพ่อนิมิตเห็นนั้นลักษณะคล้ายๆ ภูปัง” หลวงพ่อจึงบอกให้อาจารย์ชวนนำทางไปยัง “ภูปัง” พอรถวิ่งมาถึงจุดที่พอจะมองเห็นเทือกเขาได้แต่ไกล หลวงพ่อเกิดความรู้สึกมั่นใจว่าต้องใช่ภูเขาลูกนี้อย่างแน่นอน เพราะมีลักษณะรูปทรงคล้ายช้างหมอบเหมือนในนิมิต จนเมื่อรถมาถึงที่ภูปังแล้วหลวงพ่อจึงชวนคณะญาติโยมเดินขึ้นไปดูบนยอดภูว่าจะตรงกับนิมิตหรือไม่ พอขึ้นไปถึงข้างบน ทันใดนั้นได้เกิดฝนตกลงมา ทั้งๆ ที่ไม่มีท่าทีมาก่อน ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ บางคนก็บอกว่าเทวดาท่านรับรู้ถึงการมาของหลวงพ่อแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือ ลักษณะภูมิประเทศบนยอดภูแห่งนี้ตรงกับนิมิตของหลวงพ่อทุกประการ

จากนั้นมา หากหลวงพ่อมีเวลาก็จะถือโอกาสมาวิเวกที่ภูปังอยู่เสมอ ชาวบ้านจึงได้มาเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับภูปังให้ฟัง รวมทั้งเหตุการณ์แปลกประหลาด ความน่าอัศจรรย์ที่หาคำตอบไม่ได้ เช่น เคยมีพระธุดงค์มาพำนักที่นี่หลายรูป แต่ไม่มีพระรูปไหนอยู่ได้นาน บางรูปถึงกับจะสร้างสำนักสงฆ์มาแล้วแต่ไม่เคยสำเร็จ เพราะเกิดอุปสรรคต่างๆ นานาขึ้นเสียก่อน บางรูปก็กลับไปเสียเฉยๆ แม้ชาวบ้านจะนิมนต์ให้อยู่ต่อก็ตาม ครั้งสุดท้ายคือเกิดไฟไหม้ที่พักสงฆ์ก่อนหลวงพ่อจะเดินทางมาถึงภูปังเพียงไม่กี่วัน พอหลวงพ่อถามชาวบ้านกลับไปว่า “อยากได้วัดกันหรือไม่” ชาวบ้านต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากให้มีวัด จะได้ไม่ต้องไปทำบุญที่วัดอื่นซึ่งอยู่ห่างไกล เพราะว่าการเดินทางยากลำบาก และหลวงพ่อยังถามต่อว่า “มีแต่อุปกรณ์ให้นะ ไม่มีค่าแรง จะพากันทำได้ไหม” นายเส็ง ดรุณพันธ์ ผู้ใหญ่บ้านสมัยนั้น ได้รับปากหลวงพ่ออย่างหนักแน่นว่า “จะพาชาวบ้านมาทำ ขอให้มีวัสดุก็พอครับ”

เมื่อหลวงพ่อได้มาเห็นและตั้งใจจะสร้างวัดขึ้นที่ภูปัง ท่านจึงไปกราบหลวงปู่ไท ฐานุตฺตโม วันเขาพุนก จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นศิษย์และเป็นหลานแท้ๆ ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเป็นพระผู้มีฌานสมาธิแก่กล้ามาก หยั่งรู้เรื่องราวทั้งอดีตและอนาคต หลวงพ่อได้เล่าไว้ว่า “ตอนไปกราบพระอาจารย์ไท ได้ถามท่านว่า หากจะทำการอย่างหนึ่ง (ในใจขณะนั้นคิดถึงการสร้างวัดที่ภูปัง) จะทำได้หรือไม่? พระอาจารย์ไทนั่งหลับตาอยู่สักครู่ แล้วลืมตาขึ้นมาบอกว่า ท่านสนธิ์สร้างได้ แต่คนอื่นทำไม่ได้นะ ไม่มีใครทำได้” และท่านก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ท่านสนธิ์ที่นั่นมีฤาษีนเรศ อายุ 400 กว่าปี บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่บนเขาด้วย” พระอาจารย์ไทพูดขึ้นโดยที่หลวงพ่อไม่ได้บอกว่าจะทำอะไร ทำที่ไหน เลยนึกถึงเรื่องที่ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า เคยมีพระหลายรูปมาสร้างวัดที่ภูปังแต่สร้างไม่ได้ เมื่ออาจารย์ไทท่านพูดเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี เพราะท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่ดีมาก นับแต่นั้น หลวงพ่อจึงได้ชักชวนผู้มีศรัทธา คณะญาติโยม และคณะศิษยานุศิษย์มาร่วมกันพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้เป็น “วัดป่าภูปัง” โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 เรื่อยมา

จวบจนถึง ปี พ.ศ.2541 หลวงพ่อได้ทำการก่อสร้างศาลาอเนกประสงค์ 3 ชั้น จวนใกล้แล้วเสร็จ หลวงพ่อได้ดำริให้สร้างพระพุทธพิชิตมารมัธยมพุทธกาล ขนาดหน้าตักกว้าง 80 นิ้ว เพื่อเป็นพระประธานที่ศาลาในชั้นที่ 3 และเพื่อเป็นการฉลองครบ 85 ปี นับจากวันที่ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ได้อัญเชิญพระพุทธพิชิตมาร มาประดิษฐานที่วัดบรมนิวาสฯด้วย โดยจำลองแบบจากพระพุทธพิชิตมารมัธยมพุทธกาล ซึ่งประดิษฐานในศาลาอุรุพงษ์ วัดบรมนิวาสฯ โดยให้คุณสุพจน์ เตชะอำนวยวิทย์ ได้ทำการบันทึกรายละเอียดทุกส่วนของพระพุทธรูป เพื่อให้ช่างปั้นสำหรับปั้นแบบ การปั้นแบบนั้น หลวงพ่อได้ควบคุมดูแลการปั้นอย่างสม่ำเสมอและสั่งให้ช่างปั้นแก้ไขอยู่หลายครั้ง เพื่อให้ได้พระพุทธพิชิตมารฯ จำลองอย่างใกล้เคียงของจริงมากที่สุด และได้นิมนต์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เป็นประธานในพิธีเททองหล่อ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต จ.หนองคาย เป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์ ซึ่งได้เกิดเหตุมหัศจรรย์ คือมีฝนตกโปรยปรายลงมากลางพิธีอย่างไม่มีท่าทีมาก่อน

หลังการหล่อพระพุทธพิชิตมารมัธยมพุทธกาลจำลอง และปิดทองสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ทางโรงหล่อได้อัญเชิญองค์พระไปยังวัดป่าภูปัง ก่อนที่หลวงพ่อสนธิ์จะไปถึง และได้ว่าจ้างรถแบคโฮ ยกองค์พระพุทธรูปขึ้นบนศาลาชั้น 3 แต่เนื่องจากพระพุทธรูปหนักถึง 2 ตัน หลายคนเกรงว่าจะยกลำบาก อาจทำให้องค์พระเสียหายได้แต่คนขับรถแบคโฮ กลับปรามาสว่ายกง่ายๆ เพราะเคยยกมาหลายครั้งไม่เคยมีปัญหา จึงทำการยกองค์พระทันที แต่ทันใดนั้น “รถกลับเสียเอาเฉยๆอย่างไม่ทราบสาเหตุ” ไม่สามารถที่จะยกองค์พระได้ต้องรอหลวงพ่อสนธิ์มาถึงในวันต่อมา โดยเจ้าของรถแบคโฮ ต้องเอารถคันใหม่มาเปลี่ยน แล้วหลวงพ่อได้ทำพิธีก่อนจึงสามารถอัญเชิญพระพุทธพิชิตมารขึ้นประดิษฐานบนชั้นสามของศาลาได้อย่างสดวก โดยสวัสดี

หลังจากหลวงพ่อเดินทางกลับวัดบรมนิวาสฯ ได้ไม่นานปรากฏว่า มีตายายสองคนเดินทางมาพบหลวงพ่อที่กุฏิผ่องดำรงค์ โดยแจ้งว่า หลวงตาจันทร์ที่อยู่ที่วัดนี้ได้มาเข้าฝัน ให้มาแจ้งกับหลวงพ่อว่า จะไม่อยู่วัดบรมนิวาสฯแล้ว จะไปอยู่วัดป่าภูปัง จ.อุบลราชธานี หลวงพ่อจึงได้พาตายายไปดูรูปหล่อพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันฺโท) ซึ่งตายายทั้งสองบอกว่า ท่านคือหลวงตาจันทร์ที่มาเข้าฝัน

หลังจากนั้นไม่นาน ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นที่ศาลาอุรุพงษ์ เป็นเหตุให้พระพุทธพิชิตมารมัธยมพุทธกาล ซึ่งทำด้วยปูนปั้นเสียหายและเนื่องจากพระพุทธพิชิตมารมัธยมพุทธกาลนี้ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ อยู่ในการดูแลของกรมศิลปากร ความเสียหายนั้นยังความเสียใจแก่ลูกศิษย์ทั้งพระและฆราวาสของวัดบรมนิวาสฯ อย่างไรก็ตามยังดีมีรูปภาพรายละเอียดของพระพุทธพิชิตมารมัธยมพุทธกาลที่คุณสุพจน์ถ่ายได้ ไว้เพื่อสร้างองค์จำลอง จึงได้มอบรูปภาพรายละเอียดทั้งสิ้นให้แก่ทางวัด เพื่อส่งให้กับทางกรมศิลปากร เพื่อใช้เป็นแบบในการบูรณะต่อไป

นับว่าน่าอัศจรรย์มากที่ตายายฝันว่า หลวงตาจันทร์ สั่งให้มาบอกหลวงพ่อสนธิ์ให้รู้ล่วงหน้าว่าท่านจะไม่อยู่แล้ว และจะไปอยู่วัดป่าภูปังเหมือนกับจะมาบอกว่า มีพระพุทธพิชิตมารมัธยมพุทธกาลองค์จำลองเกิดขึ้นแล้ว ไม่น่าเป็นห่วงอะไรอีก แม้จะเกิดไฟไหม้เสียหายก็ตาม เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์แปลกจริงๆ

และในปี พ.ศ.2542 วัดป่าภูปัง ได้กราบนิมนต์ หลวงปู่บุญมี โชติปาโล วัดสระประสานสุข จ.อุบลราชธานี เพื่อร่วมพิธีสมโภชพระพุทธพิชิตมารฯและฉลองศาลา ขณะนั้นท่านมีอายุ 92 ปี จึงไม่ค่อยรับนิมนต์เพราะอายุมากแล้ว แต่ท่านก็เมตตามาและได้เมตตาเทศนาธรรมเรื่อง ภูเขา-ภูเรา ให้ฟัง เป็นธรรมะเปรียบเปรยว่า ไปดูทำไมภูเขา ทำไมไม่ดูที่ภูเรา(ตัวเรา)ว่ามีอะไรบ้าง? แล้วท่านก็พูดถึงเรื่องราวของภูปังไว้ว่า  หลวงปู่เคยมาปฏิบัติธรรมที่ภูปังเมื่อตอนเป็นสามเณร ได้ติดตามอุปัฏฐาก “ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์” กับ “หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต” ออกธุดงค์ไปยังที่ต่างๆ จนได้มาปฏิบัติบำเพ็ญเพียรที่เขาภูปัง นี้คืออีกหนึ่งคำบอกเล่าของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เป็นดังประวัติศาสตร์อันสำคัญถึงความผูกพันเกี่ยวเนื่องกับท่านเจ้าคุณอุบาลีคุนูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันฺโท) และหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต กับวัดป่าภูปัง จ.อุบลราชธานี จนมาถึงปัจจุบัน และนี่คือที่มาของพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งพระองค์ ที่น่ากราบไหว้ในจังหวัดอุบลราชธานี

ทีมข่าวเฉพาะกิจ / รายงาน




ป้ายกำกับ:, , , , , ,

สำนักงานใหญ่ เลขที่ 76 หมู่ 20 ถนนกสิกรทุ่งสร้าง ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000