“เฉลิมชัย” เร่งเครื่องโมเดล "เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด" ผนึกความร่วมมือจีน พัฒนาเกษตรอัจฉริยะและอีคอมเมิร์ซ เพิ่มศักยภาพเกษตรกร ขยายส่งออก - ไทยเสรีนิวส์
“เฉลิมชัย” เร่งเครื่องโมเดล “เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด” ผนึกความร่วมมือจีน พัฒนาเกษตรอัจฉริยะและอีคอมเมิร์ซ เพิ่มศักยภาพเกษตรกร ขยายส่งออก

“เฉลิมชัย”เร่งเครื่องโมเดล”เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด”ผนึกความร่วมมือจีนพัฒนาเกษตรอัจฉริยะและอีคอมเมิร์ซ เพิ่มศักยภาพเกษตรกร ขยายส่งออกด่านใหม่”ตงชิง-ผิงเสียง” “อลงกรณ์”เผยจีนพร้อมส่งเสริมการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารในไทย

 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังจากนายหวัง ลี่ผิง (Mr. Wang Liping) อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ ประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทยและคณะเข้าเยี่ยมคารวะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อเรว่า การหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือระหว่างไทย-จีนเป็นไปด้วยบรรยากาศที่ดียิ่งได้แก่ความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรและผู้ประกอบการ (Entrepreneurship Development) การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การพัฒนาเส้นทางขนส่งสินค้าทางรถไฟเชื่อมระหว่าง ไทย-ลาว-จีน และ ไทย-เวียดนาม-จีน การขยายความร่วมมือด้านตลาดอีคอมเมิร์ซในจีนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่ อาทิ

JD Alibaba (TAPBAO Tmall)Lazada และ Shopee เป็นต้น รวมทั้งความร่วมมือในโครงการนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร ซึ่งขณะนี้มี 8 กลุ่มจังหวัดที่เริ่มและอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการ เพื่อรองรับการลงทุนจากผู้ประกอบการจีน เช่น นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 60%โดยฝ่ายจีนยืนยันพร้อมสนับสนุนการลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมเกษตรอาหารและยังเสนอที่จะสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถของเกษตรกรและผู้ประกอบการ เช่น การศึกษาดูงานของผู้นำเกษตรกรไทยในจีน การศึกษาดูงานด้านเกษตรกรอัจฉริยะ การสัมมนาการจับคู่ผู้ประกอบการ โครงการฝึกอบรม ฯลฯ และฝ่ายไทยได้นำเสนอโครงการความร่วมมือภายใต้กรอบ ความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง

โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน และสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขง และส่งเสริมกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียน ปัจจุบัน กระทรวงเกษตรฯ ได้รับงบสนับสนุนดำเนินโครงการแล้วทั้งหมด 7 โครงการ ในวงเงินราว 60 ล้านบาท และครั้งล่าสุด เมื่อปี 2563 ได้เสนอโครงการจำนวน 8 โครงการ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในกรอบความร่วมมือนี้ และพร้อมที่จะดำเนินงานร่วมกับประเทศสมาชิกทุกประเทศเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่ออนุภูมิภาคนี้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้จะหารือต่อเนื่องในการประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการเกษตรไทย – จีน ครั้งที่ 12 ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีกำหนดการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2564 ผ่านระบบออนไลน์


นายอลงกรณ์กล่าวว่าจีนเป็นพันธมิตรและคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะสินค้าเกษตรและผลไม้ไทย โดยในปี 2563 ไทยสามารถส่งออกผลไม้ไปจีนเป็นมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท แม้จะเผชิญกับสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งปัจจัยความสำเร็จที่ผ่านมาคือความร่วมมืออย่างดียิ่งระหว่างไทยกับจีนและการทำงานภายใต้โมเดล “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ตามนโยบายร่วมระหว่างนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ.ตลอดจนการพัฒนาระบบผลิตจนถึงผู้บริโภคด้วยนโยบาย “เกษตรปลอดภัย อาหารปลอดภัย”สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้วยมาตรฐาน GAP ,GMP,Organic,Halal ,Q เป็นต้นรวมทั้งคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้

ซึ่งมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ได้กำหนดแนวทางบริหารจัดการผลไม้ ปี 2564 – 2566 เพื่อเป็นกรอบในการทำงานเน้นการเทคโนโลยีมากขึ้นในยุค 4.0 และในสถานการณ์การระบาดของโรค COVID – 19 ตลอดห่วงโซ่การผลิต เพื่อผู้บริโภคได้รับประทานผลไม้ที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและรสชาติอร่อย และได้มีการพัฒนามาตรฐานและคุณภาพผลไม้ไทย อาทิ ระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) จากฟาร์มถึงผู้บริโภค การส่งเสริมการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ (O2O model) การพัฒนาการอำนวยความสะดวก (Facilitation) บริเวณด่านส่งออก 4 ด่าน ได้แก่ ด่านโมฮ่าน ด่านโหยวอี้กวน ด่านตงชิงและด่านผิงเสียงขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ โดยคณะกรรมการโลจิสติกส์เกษตร(Logistic)ที่มีนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรเป็นประธานกำลังจัดทำแผนพัฒนาเส้นทางขนส่งทางรถไฟ โดยจะเชื่อมระหว่าง ไทย-ลาว-จีน และ ไทย-เวียดนาม-จีน


สำหรับสถิติการส่งออกผลไม้สดไปจีน ปี 2563 มีดังนี้ ปริมาณรวม 1,624,000 ตัน มูลค่า 102,800 ล้านบาท โดยผลไม้ที่มีปริมาณการส่งออกไปจีน ๕ อันดับแรก คือ 1. ทุเรียน 620,000 ตัน มูลค่า 66,000 ล้านบาท 2. ลำไย 378,000 ตัน มูลค่า 14,400 ล้านบาท 3. มังคุด 287,000 ตัน มูลค่า 15,700 ล้านบาท 4. มะพร้าวอ่อน ๒๗๐,๐๐๐ ตัน มูลค่า ๔,๙๐๐ ล้านบาท และ 5. ขนุน ๒๒,๗๐๐ ตัน มูลค่า ๔๐๐ ล้านบาท ในส่วนของทุเรียนเป็นผลไม้สดที่จีนนำเข้ามากที่สุดในปี 2563 คิดเป็น 23% ของปริมาณการนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศทั้งหมดของจีน โดยไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่จีนอนุญาตให้นำเข้าผลทุเรียนสด

“ประเทศไทยสามารถขยายการส่งออกผลไม้และสินค้าเกษตรผ่านด่านตงซิงและด่านผิงเสียงที่เปิดใหม่ได้ช่วยลดปัญหาและอุปสรรคการขนส่งสินค้าไปจีนและช่วยขยายความร่วมมือการค้าของทั้งสองประเทศ และหากสามารถเปิดในรูปแบบ Green lane ตรวจปล่อยสินค้าบริเวณด่านการค้าพิเศษและเขตฟรีโซนหนานหนิงจะทำให้การขนส่งผลไม้จากไทยไปจีนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคได้รับประทานผลไม้ที่มีคุณภาพ จึงได้ขอให้ฝ่ายจีนติดตามความก้าวหน้าการอนุญาตนำเข้าผลไม้ไทยผ่านด่านใหม่ หากสามารถเปิดดำเนินการได้โดยเร็ว จะลดความแออัดบริเวณด่านโหย่วอี้กวนในช่วงฤดูกาลการส่งออกทุเรียนของปีนี้
ท้ายที่สุด ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอขอบคุณฝ่ายจีนที่มาหารือพูดคุยกันในครั้งนี้ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะได้หารือในความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายต่อไป.




สำนักงานใหญ่ เลขที่ 76 หมู่ 20 ถนนกสิกรทุ่งสร้าง ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000